วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่องมอญ.................

กลุ่มชาติพันธุ์ชาวมอญ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น ๓ พระองค์เจ้าลม่อม กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร

น่าจะเล่าเรื่องมอญต่ออีกสักนิด เพราะมอญนั้นอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวนมาก และหลายครั้งตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีในรัชกาลที่ ๔ พระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ ๕ นั้น ท่านทรงมีเชื้อสายมอญ ถึง ๒ ทาง พูดกันอย่างสามัญ ก็ว่าทางยายคือท่านแจ่ม ท่านแจ่มเป็นหลานตาของพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) มอญอพยพเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนทางย่าของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี คือเจ้าจอมมารดาทรัพย์ในรัชกาลที่ ๓ เจ้าจอมมารดาทรัพย์ท่านเป็นเหลนยาย ของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ที่ปรากฏนามในเรื่อง บุญบรรพ์
  มอญพวกท้าวทรงกันดาลนี้ อพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ผู้เป็นหัวหน้าคือพระยาเจ่ง แต่ต่อมาถูกพม่ากวาดต้อนกลับไปคราวเสียกรุงเสียจำนวนหนึ่ง พวกที่ยังเหลืออยู่พากันหนีไปพึ่งพระบารมีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) และพี่ชายซึ่งรับราชการในกรุงศรีอยุธยาเป็นหลวงบำเรอภักดิ์ (คือพระยารามัญวงศ์ หรือจักรีมอญหรือเจ้าพระยารามจตุรงค์ กรุงธนบุรีในเวลาต่อมา)
พระราชโอรสธิดา ใน สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
๑. พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (สมเด็จเจ้าฟ้า จุฬาลงกรณ์)
๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธฮ กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์ (สมเด็จเจ้าฟ้าจันทรทณฑลฯ)
๓. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ (สมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี)
๔. สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช (สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์)
ทีนี้เล่าถึงพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) บ้าง

            มอญพวกพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) นั้น อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๘ ห่างจากมอญพระยาเจ่ง สมัยกรุงธนบุรี ถึง ๔๑ ปี
            หนีมาจากเมาะตะมะ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับคราวพระยาเจ่ง คือถูกกดขี่ข่มเหงจึงพากันจับกรมการเมืองที่เป็นพม่าฆ่าเสีย แล้วหนีเข้าไทยหลายทางเป็นจำนวนถึง ๔๐,๐๐๐ คน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงทราบข่าว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ พร้อมด้วยกรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระเจ้าน้าเสด็จไปรับครัวมอญที่กาญจนบุรี โปรดฯให้เจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายกขึ้นไปรับที่เมืองตาก โปรดฯให้สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯมหาเสนานุรักษ์ วังหน้า เสด็จขึ้นไปคอยรับที่เมืองนนทบุรี โปรดฯให้ตั้งภูมิลำเนาที่เมืองนนทบุรีบ้าง เมืองสามโคก ซึ่งทรงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนครเขื่อนขันธ์บ้าง
            มอญหัวหน้านั้นชื่อสมิงสอดเบา โปรดฯตั้งเป็นพระยารัตนจักร มอญที่อพยพเข้ามาครั้งนี้เรียกกันว่ามอญใหม่
            ธิดาพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) ได้เป็นพระสนมเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ ๑ คือเจ้าจอมมารดาป้อมมีพระองค์เจ้าหญิงพระองค์เดียว คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเรไร
            อีกท่านหนึ่งเจ้าจอมมารดาเอมเป็นพระสนมเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ ๒ มีพระองค์เจ้าชาย ๑ พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณวงศ์ กรมหลวงวรศักดาพิศาล ต้นราชสกุล อรุณวงศ์ ณ อยุธยา
            เจ้าจอมมารดาทรัพย์ อัยยิกา (ย่า) ของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ที่กล่าวมาแต่ต้น ท่านเป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ หากว่ากันตามภาษาสามัญชนแล้ว ท่านก็เป็นญาติสนิทของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เพราะท่านเป็นธิดาของท่านผ่อง ท่านผ่องเป็นธิดาของท่านปล้อง ท่านปล้องเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพระชนนีเพ็ง พระชนนีของสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีพันปีหลวงของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เจ้าจอมมารดาทรัพย์จึงเป็นหลานป้าของสมเด็จพระศรีสุลาลัย เท่ากับอยู่ในฐานะพี่น้องกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
            เจ้าจอมมารดาทรัพย์ มีพระองค์เจ้า ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าศิริวงศ์ และพระองค์เจ้าลม่อม
            พระองค์เจ้าศิริวงศ์ทรงเป็นพระชนกของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงทรงสถาปนาพระอัฐิพระอัยกา (ตา) เป็น สมเด็จพระราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ท่านเป็นต้นราชสกุล ศิริวงศ์ ณ อยุธยา
            ส่วนพระองค์เจ้าลม่อม ทรงอภิบาลบำรุงเลี้ยง สมเด็จพระเทพศิรินทรฯ มาแต่ยังทรงพระเยาว์ แล้วยังได้ทรงอภิบาลพระราชโอรสธิดาในสมเด็จพระเทพศิรินทรฯ ด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงสถาปนาเป็น พระบรมมหัยยิกาเธอกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร เจ้ากรมเป็นพระยา (ในรัชกาลที่ ๖ ทรงเปลี่ยนเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร)

            ถึงสมัยกรุงธนบุรีพระยาเจ่งและพรรคพวกซึ่งพม่าให้ไปอยู่เมืองเมาะตะมะ ถูกข่มเหงมากเข้าก็พากันกบฏ แล้วหนีเข้ามาพึ่งไทยหลายทาง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ไปรับเข้ามาถึงพระนครพร้อมกัน โปรดให้ไปตั้งภูมิลำเนายังเมืองนนท์บ้าง เมืองสามโคกบ้าง (ยังไม่เรียกว่าปทุมธานี) โปรดให้พระยารามัญวงศ์ ควบคุมดูแลพวกชายฉกรรจ์ ๓,๐๐๐ คน เป็นกองมอญอาสายกหนุนออกไปทำศึกกับพม่า ส่วนบรรดาชาวมอญอื่นๆ พระราชทานตราภูมิคุ้มห้ามเก็บอากรขนอนตลาดทั้งปวง ให้ทำมาหากินเป็นสุขทั่วหน้า มอญพระยาเจ่งครั้งกรุงธนบุรีนี้ อพยพเข้ามาเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๗ เรียกกันว่าพวกมอญเก่า
            พระยาเจ่งผู้นี้ เมื่อพระยาสรรค์สู้รบกันกับพระยาสุริยอภัย (กรมพระราชวังหลังในรัชกาลที่ ๑) ได้ร่วมกันกับเจ้าศรีอโนชา หรือเจ้าศิริรจจา ท่านผู้หญิงของเจ้าพระยาสุรสีห์ (กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑) ยกกองมอญข้ามฟากมาช่วยพระยาสุริยอภัยรบ ส่วนเจ้าพระยารามจตุรงค์ นั้นเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งทรงผนวชอยู่ เวลานั้นจะว่าไปก็เท่ากับพระยาสรรค์เป็นกบฏก่อความวุ่นวายทั้งๆ ที่รับปากกับพระยาสุริยอภัยว่า จะรักษาพระนครคอยท่าจนกว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ จะยกทัพกลับถึงพระนคร มิใช่ว่ามอญแตกแยกเป็นสองพวก จะว่าพระยาเจ่งกบฏต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ไม่ถนัด เพราะสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ท่านตัดสินพระทัยไม่สู้ และรับสั่งห้ามเจ้ารามลักษณ์ (พระองค์เจ้ารามลักษณ์กรมขุนอนุรักษ์สงคราม) หลานเธอแล้วว่ามิให้สู้
            ในรัชกาลที่ ๑ โปรดให้สร้างเมืองขึ้นใหม่ตรงที่เรียกกันว่า เมืองพระประแดงมาแต่โบราณ พระราชทานนามว่าเมืองนครเขื่อนขันธ์ แล้วให้ย้ายครัวมอญพวกพระยาเจ่งลงไปอยู่เมืองนครเขื่อนขันธ์
            ในรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ตั้งพระยาเจ่งเป็นพระยามหาโยธา จางวางกองมอญ ต่อมาออกสงครามรบพุ่งกับพม่ามีความสามารถโปรดเลื่อนให้เป็นเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) มีบุตรชายสองคน คนโตชื่อทอเรียะ หรือทองชื่น ได้เป็นเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) แทนบิดาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงพระกรุณาโปรดปรานมาก ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดฯให้เป็นพระยานครเขื่อนขันธ์


แหล่งที่มา : จุลลดา ภักดีภูมินทร์, เล่าเรื่องมอญ บทความ-สารคดี ฉบับที่ 2486 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2545
1. คนไทยภาคกลางพื้นถิ่น   คนไทยภาคกลางพื้นถิ่นที่จังหวัดราชบุรีเห็นเด่นชัดที่ชุมชนบ้านโพหัก ตำบลโพหัก อำเภอบางแพ คนที่รู้จักโพหักรวมทั้งคนโพหักดั้งเดิม ต่างยอมรับว่า คนโพหักเป็นไทยแท้ สังเกตได้จากสำเนียงภาษาที่แปลกว่าท้องถิ่นอื่นในจังหวัดราชบุรี เช่น ใช้คำนำหน้าชื่อผู้หญิง ออ” อาทิ ออแดง ออนุ่น เป็นต้น บางคนกล่าวว่าคำเหล่านี้เป็นคำไทยแท้แต่โบราณ
     2. ชาวไทยจีน  ชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นกลุ่มชนที่มีบทบาททางเศรษฐกิจต่อเมืองราชบุรีอย่างมาก G.Williaw Skinner ผู้ศึกษาเรื่องราวของชาวจันในประเทศไทยระบุว่าใน พ.ศ. ๒๔๕๐ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่   เป็นช่วงที่ชาวจีนอพยพเข้ามายังดินแดนประเทศไทยมากที่สุด ชาวจีนที่อพยพเข้ามาสารถแยกออกเป็น  กลุ่มตามสำเนียงการพูด ได้แก่ ชาวจีนกลุ่มแต้จิ๋ว จีนแคะ ไหหลำ กวางตุ้ง และฮกเกี้ยน ชาวจีนเหล่านี้กระจายกันอยู่ในเขตอำเภอเมืองราชบุรี อำเภอดำเนินสะดวก อำเภอบ้านโป่งและอำเภอโพธาราม
     3. ชาวไทยวน ชาวยวนมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางแถบอาณาจักรล้านนา ดินแดนทางตอนเหนือของประเทศไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ได้มีพระราชบัญชาให้กองทัพกรมหลวงเทพหริรักษ์ กองทัพเมืองเวียงจันทน์  พร้อมด้วยกองทัพเมืองล้านา ยกขึ้นไปตีเมืองเชียงแสนใน พ.ศ.๒๓๔๗ ขณะนั้นเมืองเชียงแสนถูกพม่ายึดไว้ เมื่อยึดเมืองเชียงแสนได้และไล่ตีทัพพม่าแตกไปแล้วกองทัพจากกรุงเทพฯ ก็ได้รื้อกำแพงเผาบ้านเมืองแล้วกวาดครัวชาวเมืองราง ๒๓,๐๐๐ คนเศษ อพยพลงมาทางใต้  แบ่งครัวออกเป็น  ส่วนหนึ่งให้อยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนที่สองอยู่ที่เมืองนครลำปาง ส่วนที่สามอยู่ที่เมืองน่าน ส่วนที่สี่อยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ส่วนสุดท้ายพาลงมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สระบุรีบ้าง ราชบุรีบ้าง ชาวยวนที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองราชบุรีนั้น พากันตั้งบ้านเรือนบริเวณริมฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลอง  ห่างจากเมืองราชบุรีปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกประมาณ  กิโลเมตร เรียกว่าบ้านไร่นที  ต่อมามีการขยายครัวเรือนออกไปจากที่เดิมอีกหลายพื้นที่ อาทิ ตำบลคูบัว ตำบลดอนตะโก ตำบลดอนแร่ ฯลฯ อำเภอเมืองราชบุรี ตำบลหนองโพ ตำบลบางกระโด ฯลฯ อำเภอโพธาราม และตำบลหนองปลาหมอ เป็นต้น
     4. ชาวไทยมอญ  ชาวมอญอพยพเข้าสู่ประเทศไทย มีหลักฐานปรากฏครั้งแรงเมื่อ  พ.ศ.๒๑๒๗ หลักจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพเมืองแคลง ครั้งนั้นพระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติ พระยารามได้พาสมัครพรรคพวกชาวมอญตามเสด็จกลับมากรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็มีการอพยพต่อมาอีกหลายครั้งในสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวมอญในจังหวัดราชบุรีตั้งถิ่นฐานบริเวณสองฝั่งแม่น้ำแม่กลองในเขตอำเภอโพธารามและอำเภอบ้านโป่ง
     5. ชาวไทยกะเหรี่ยง  ชาวไทยกะเหรี่ยงในจังหวัดราชบุรีตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายแดนใกล้เทือกเขาตะนาวศรี มีผู้สันนิษฐานว่ากะเหรี่ยงกลุ่มราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ น่าจะอพยพโยกย้ายมาจากเมืองทวายในพม่า ชาวกะเหรี่ยงรุ่นเก่าที่อยู่ในตำบลสวนผึ้งเล่าต่อกันมาว่าราว ๒๐๐ ปีเศษผ่านมาแล้ว ได้ถูกพม่ารุกรานจึงพากันอพยพข้ามเทือกเขาตะนาวศรีเข้าชายแดนไทยทางอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แล้วแยกย้ายกันไปอยู่ที่จังหวัดราชบุรีอพยพมาอยู่ที่บ้านเก่ากะเหรี่ยงและบ้านหนองกะเหรี่ยง (บ้านหนองนกกระเรียน) แล้วโยกย้ายต่อมาทางตะวันตกจนถึงลำน้ำภาชี ตั้งบ้านเรือนอยู่ในอำเภอสวนผึ้ง และกิ่งอำเภอบ้านคาส่วนอีกสายแยกลงไปทางใต้ถึงต้นน้ำเพชรบุรี กะเหรี่ยงที่อยู่ในอำเภอสวนผึ้งและกิ่งอำเภอบ้านคา กระจายอยู่ในตำบลสวนผึ้ง ตำบลบ้านบึง ตำบลบ้านคา และตำบลตะนาวศรี นอกจากนี้ยังอยู่ที่ตำบลยางหักอำเภอปากท่ออีกด้วย
     6. ชาวไทยลาวโซ่ง ชาวลาวโซ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณกึ่งกลางระหว่างญวนกันอาณาจักรหลวงพระบาท ซึ่งทำสงคราม รุกรานกันอยู่เป็นประจำชาวลาวโซ่งจึงต้องอพยพโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีภัยสงคราม บางกลุ่มโยกย้ายไปอยู่ในถิ่นญวน บางกลุ่มย้ายเข้าไปอยู่ในอาณาจักรหลวงพระบาท ทั้งไปเองโดยสมัครใจและถูกกวาดต้อนไป รวมทั้งการอพยพเขามายังดินแดนประเทศไทยด้วย ลาวโซ่งที่เข้ามายังประเทศไทยในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตาสินมหาราชโปรดให้ตั้งบ้านเรื่อนอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  ได้โปรดให้ชาวลาวโซ่งที่อพยพเข้ามาใหม่ตั้งหลักแหล่งที่บ้านหนองปรงอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ภายหลังเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ชาวลาวโซ่งจึงพากันอพยพโยกย้ายไปตั้งหลักแหล่งในพื้นที่ใกล้เคียงและขยายออกไป ส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งหลักแหล่งในจังหวัดราชบุรี ที่บ้านตลาดควาย อำเภอจอมบึง บ้าดอนคลัง บ้านบัวงาน  บ้านโคกตับเป็ด อำเภอดำเนินสะดวก บ้านดอนคา บ้านตากแดด บ้านดอนพรม อำเภอบางแพ และที่บ้านเขาภูทอง อำเภอปากท่อ
     7. ชาวไทยลาวตี้  ชาวลาวตี้หรือชาวไทยลาวเวียน  เป็นกลุ่มคนที่มีเชื้อสายลาวจากเมืองเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองราชบุรีตั้งแต่สมัยธนบุรีเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์โดยตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ห่างจากฝั่งแม่น้ำแม่กลองด้านทิศตะวันออกราว กิโลเมตร ที่เขาแร้ง อำเภอเมืองราชบุรี บ้านฆ้อง บ้านบ่อมะกรูด บ้านเลือก บ้านสิงห์ บ้านกำแพงเหนือ บ้านกำแพงใต้ บ้านดอนทราย บ้านหนองรี บ้านบางลาน ในอำเภอโพธาราม บ้านดอนเสลา บ้านหนองปลาดุก บ้านหนองอ้อ  บ้านฆ้องน้อย ในอำเภอบ้านโป่ง นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มที่อำเภอจอมบึง ในเขตบ้านนาสมอ บ้านสูงเนิน บ้านทำเนียบ บ้านเกาะ บ้านหนอง บ้านเก่า บ้านวังมะเดื่อ เป็นต้น
    8. ชาวไทยเขมร  ชาวเขมรลาวเดิมเป็นชื่อเรียนประชากรกลุ่มหนึ่งของจังหวัดราชบุรีที่ไม่มีเอกสารหลักฐานใด ๆ กล่าวถึงถิ่นกำเนิดเดิมและสาเหตุของการอพยพครัวเข้าอยู่ในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง นอกจากคำบอกจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บางคนว่า ถูกกวาดต้อนมาจากทางเหนือปัจจุบันชาวเขมรลาวเดิมตั้งบ้านเรือนกระจายในหลายท้องที่ของจังหวัด ได้แก่ ในท้องที่บางส่วนของตำบลคุ้มกระถิน และตำบลคุ้งน้ำวน เขตอำเภอเมืองราชบุรี อำเภอปากท่อ ที่ตำบลวัดยางงาน หมู่  บ้านกอไผ่ ตำบลบ่อกระดาน ที่บ้านบ่อตะคร้อ บ้านหัวถนน และบางส่วนของตำบลดอนทราย ที่หมู่บ้านหนองจอก อำเภอวัดเพลง ที่ตำบลวัดเพลงบริเวณวัดศรัทธาราษฎร์บ้านบางนางสูญ ตำบลเกาะศาลพระ ที่บ้านคลองขนอน คลองพะเนาว์ บ้านโคกพริก  อำเภอบางแพ ที่ตำบลหัวโพ บ้านดอนมะขามเทศ ตำบลวังเย็น ที่บ้านเตาอิฐ บ้านหนองม่วง ตำบลวัดแก้ว ที่บ้านเสาธง บ้านทำนบ  ตำบลบางแพ ที่บ้านท่าราบ ฯลฯ

ที่มา  ศูนย์ข้อมูลจังหวัดราชบุรี